29 พ.ค. 2554

อีกหนึ่ง นวัตกรรมใหม่จากธรรมชาติบำบัดสูตรเข้มข้น ช่วยในการักษา ป้อง บำบัด ฟื้นฟู บรรเทา และ ดูแลสุขภาพ ในเวลาเดียวกัน


หากคุณคือคนหนึ่งที่มีปัญหาด้านสุขภาพ หรือ ต้องการจะดูแลสุขภาพ เอนไซม์ ต้ายี คือทางเลือกสำหรับคุณ
คุณอาจจะเคยมีปัญหาด้านสุขภาพ และบางคนอาจจะทรมานกับปํญหาของสุขภาพที่รักษาอย่างไรก็ไม่หายขาดซักที เดี่ยวเป็น เดี่ยวหาย หรือ คุณอาจจะไม่เคยมีปัญหาด้านสุขภาพมาก่อน แต่ต้องการที่จะดูแลสุขภาพเพื่อให้ห่างใกลจากโรคร้ายต่างๆ เอนไซม์ ต้ายี เหมาะสำหรับคุณแล้ว
29 พ.ค. 2554
ยินดีต้อนรับ เข้าสู่นวัฒกรรมการฟื้นฟูสุขภาพด้วยเอนไซม์ต้ายี
โรคเบาหวานโรคมะเร็งโรคเอดส์โรคอัมพฤกษ์โรคความดันโรคหัวใจโรคไตโรคไขข้อเสื่อมกระดูกเสื่อมกระดูกทับเส้นช็อกโกแลตซีสไขมันอุดตัน ภูมิแพ้ ท้องผูกเรื้อรัง ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ มีบุตรยาก เกี่ยวกับมดลูก สะเก็ดเงิน สิว ฝ้า กระ และโรคอื่นๆอีกหลายโรค

ราคาปลีก-ส่ง พร้อมรับตัวแทนจำหน่ายโปรโมชั่นพิเศษสุดสำหรับช่วงนี้สั่ง 3 กล่อง แถมประกัน PA 100,000 บาท เบิกจ่ายไม่อั้น ครั้งละ 5,000 บาท


       ชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้าขาดเอนไซม์เอนไซม์ย่อยอาหาร( Food)ให้เป็นสารอาหาร( อาหารสาร ) ขนาดเล็กถูกดูดซึมผ่าน ลำไส้เข้ากระแสโลหิตไป  สร้างกล้าม เนื้อ ผลิตฮอร์โมนสร้างระบบภูมิคุ้มกันเป็นต้นเอนไซม์ควรจะถือว่าสำคัญกว่า ก๊าซออกซิเจนที่ใช้หายใจชีวิตที่ ปราศจากเอนไซม์ จะไม่สามารถอยู่์ได้ แต่อากาศหรือก๊าซออกซิเจนสำหรับหายใจสำคัญที่สุดต่อมนุษย์แท้ที่จริงเป็นความสำคัญในระดับหนึ่งเท่านั้นเพราะก๊าซออกซิเจนที่เราต้องใช้หายใจเกิดจากปฏิกิริยาเคมีในพืชใบเขียวซึ่งผลิตเอนไซม์เป็นตัวเร่งโดยเปลี่ยนก๊าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้เป็นแก๊สออกซิเจน(O2) โดยมีแสงแดด เป็นตัวช่วยถ้าเอนไซม์ในร่างกามีย มากพอเพียง มนุษย์จะถึงอายุยืน 120 ปีเพราะเซลล์ใน ร่างกายสามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกา
ผลิตภัณฑ์ Enzyme ต้ายี่
 อาหารเสริมที่สกัดมาจากพืชหลายชนิด
 
อาหารเสริมที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต
 
อาหารเสริมที่ใช้ในการโภชนะบำบัดได้
 คุณสมบัติสารอาหารในผลิตภัณฑ์พืชผักผสมชนิดผง ตรา ต้ายี่ มีสารอาหาร ที่แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ตามหน้าที่ที่สำคัญในร่างกายได้ดังนี้
1. เอนไซม์ 370ชนิด ช่วยฟื้นฟูเซลในร่างกาย คืนสู่สภาพปกติ
2.
ให้พลังงาน
    
คาร์โบไฮเดรต
     
ไขมัน
     
โปรตีน
3.
เป็นส่วนประกอบของร่างกายเกลือแร่หรือแร่ธาตุต่างๆ
4.
ควบคุมกระบวนการทางชีวเคมีต่างๆ
   ในร่างกายวิตามินคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) เป็นส่วนประกอบ ที่มีความสำคัญของ  เซลล์ และเป็นเชื้อเพลิงสำหรับ เผาผลาญ ทำให้เกิดพลังงานภายในเซลล์ นอกจาก นั้นยังมีอาหารประเภทสารเส้นใยอาหาร (Dietary Fiber) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อร่างกาย
   
เส้นใยอาหารในผลิตภัณฑ์พืชผักผสมชนิดผงตราเจนิฟู้ด ประกอบด้วย
1.
เซลลูโลส (Cellulose) ช่วยขจัด สารพิษออกจากร่างกาย
2.
เฮมิเซลลูโลส (Hemicellulose) ช่วยขจัด สารพิษออกจากร่างกาย
3.
เพคติน (Pectin) ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด
4.
ลิกนินและแวกซ์ (Lignin and Wax) ทำให้อุจจาระไม่แข็ง ท้องไม่ผูก ลดการเกิดโรคริดสีดวงทวาร

 
ไขมัน (Lipid) ไขมันในผลิตภัณฑ์พืชผักผสมชนิด ผงตรา ต้ายี่ จะเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ประกอบด้วยกรดไขมัน 3 ชนิด ได้แก่
1.
กรดไขมันไลโนเลอิก
2.
กรดไขมันโอเลอิก
3.
กรดไขมันไลโนเลนิก

   ประโยชน์ของกรดไขมันดังกล่าวคือ ให้ พลังงานและช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน อันได้แก่วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ไขมัน เป็นส่วนประกอบของอวัยวะต่างๆ เช่น เลซิติน เป็นส่วนประกอบของเนื้อสมอง กรดไลโนเลอิก ทำให้ผิวหนังไม่อักเสบ และช่วยลดระดับคอเลสเตอ รอลในเส้นเลือด ทำให้ไม่มีไขมันเกาะผนังของ หลอดเลือด

 
โปรตีน (Protein) สารอาหารโปรตีนประกอบด้วย หน่วยเล็กๆเรียกว่า กรดอะมิโนเป็นส่วนประกอบ สำคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต โปรตีนในเหยิน-เบิ่นเป็น โปรตีนที่ได้มาจากพืช มีกรดอะมิโนที่เป็นประโยชน์ กับร่างกาย และมีกรด อะมิโนที่จำเป็น (Essential Amino acid) จำนวนมาก

                เอมไซม์ คือ สารโปรตีน เป็นตัวเร่งการทำงานของระบบต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต ทำให้เซลล์เป็นล้าน ๆ เซลล์, เนื้อเยื่อ ของเหลว และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้อย่างปกติ
หากร่างกายขาดเอนไซม์หรือปริมาณเอนไซม์ ลดลง
                จะทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น การย่อยอาหาร การขับถ่าย การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การขจัดสารพิษของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันระบบเลือดในร่างกายผิดปกติ
 
หน้าที่ของเอนไซม์
                   ช่วยย่อยอาหารเพื่อให้ได้สารอาหาร
                   ช่วยดูดซึม และนำพาอาหาร
                   ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
                   ช่วยเผาผลาญพลังงาน และย่อยสลายไขมัน
                   ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
                   ช่วยป้องกันอาการอักเสบ ติดเชื้อ
                   ขจัดสารพิษของร่างกาย/ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
                   ทำให้ฮอร์โมน วิตามิน เกลือแร่ และสารอื่น ๆ ทำงานตามคุณสมบัติ
กินไปมากเท่าไหร่ ก็นำไปใช้ไม่ได้ ถ้าเอนไซม์บกพร่อง
  คุณสมบัติของเอนไซม์
                   เอนไซม์ที่ร่างกายต้องการมากกว่า 370 ชนิด
                   เอนไซม์ไม่อยู่ในรูปเฉื่อยชา เพียงผสมน้ำอุ่นก็พร้อมทำปฏิกิริยาทันที
                   ทำปฏิกิริยาได้ดีเป็น 3 เท่าที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส
                   สามารถเก็บรักษาได้นานเป็นแรมปี
                   มีสารอาหารครบ 5 หมู่
                   สารอาหารจากธรรมชาติ 100% ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีใด ๆ
นอกจากนี้เอนไซม์ ยังช่วยในการ :
n  ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือการเสื่อมสภาพของอวัยวะ
n  ย่อยสลายไขมันส่วนเกิน
n  ชลอความชรา
 
เอนไซม์เรื่องที่ควรรู้
เอนไซม์ แบ่งเป็น 3 ชนิด
1. เอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) พบในอาหารดิบทุกชนิด ถ้ามากจากพืช เรียกว่า เอนไซม์จากพืช (Plant Enzyme)
2. เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ผลิตโดยร่างกานส่วนใหญ่ผลิตจากตับอ่อน เพื่อใช้ย่อยและดูดซึมอาหารที่กินเข้าไปทำให้ร่างกายได้รับสารอาหาร (Nutrient) ที่มีคุณค่า
3. เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Metabolic Enzyme) เมตาบอลิค เอนไซม์ เป็นเอนไซม์ที่ผลิตในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาชีวเคมี เพื่อการเผาผลาญสารอาหาร และสร้างพลังงาน สร้างภูมิต้านทาน สร้างความเจริญเติบโต ตลอดจนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่าง ๆ
  หน้าที่สำคัญของเอนไซม์ :
                ชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเอนไซม์ เอนไซม์ย่อยอาหาร (Food) ให้เป็นสารอาหาร (Nutrient) ขนาดเล็ก ถูกดูดซึมผ่านลำไส้เข้ากระแสโลหิต ไปสร้างกล้ามเนื้อ ผลิตฮอร์โมน สร้างระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ
  เอนไซม์ควรจะถือว่าสำคัญกว่าแก๊สออกซิเจนที่ใช้หายใจ
                ชีวิตที่ปราศจากเอนไซม์จะไม่สามารถอยู่ได้ แต่อากาศหรือแก๊สออกซิเจนสำหรับหายใจสำคัญที่สุดต่อมนุษย์ แท้ที่จริงเป็นความสำคัญในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะแก๊สออกซิเจนที่เราต้องใช้หายใจเกิดจากปฏิกิริยาเคมีในพืชใบเขียวซึ่งผลิตเอนไซม์เป็นตัวเร่ง โดยเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้เป็นแก๊สออกซิเจน (O2) โดยมีแสงแดดเป็นตัวช่วย
  ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีมากพอเพียง
                มนุษย์จะอายุยืนถึง 120 ปี เพราะเซลล์ในร่างกาย สามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกาชีวิต ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำ (Low Enzyme Level) โอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ เกิดได้ง่ายมาก หนังสือ เอนไซม์ในอาหาร” (Food Enzyme) ว่า สุขภาพ” (Health) คือ ปฏิกิริยาเคมีของเอนไซม์ที่บูรณาการ (Integrate) เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ จึงทำให้เซลล์ของร่างกายอำเนินไปอย่างปกติสุข
 
อายุมากขึ้น เอนไซม์ผลิตได้น้อยลง คุณภาพต่ำ
                การขาดเอนไซม์ย่อยอาหารมีได้หลายสาเหตุ แต่การขาดชนิดเดียวที่ตับอ่อนไม่สามารถแก้ไขได้คือ การขาดเอนไซม์เนื่องจากมีอายุมากขึ้น หนุ่มสาวอายุ 21-31 ปี มีเอนไซม์อไมเลสในน้ำลายมากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ 69-100 ปี ถึง 30 เท่า อายุมากขึ้นเอนไซม์ผลิตน้อยลงมาก แต่ความต้องการใช้ยังคงเหมือนเดิม การขาดแคลนเมื่ออายุมากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้
  สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเอนไซม์ คือ
1. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสร้างเอนไซม์ขึ้นมาใช้เองด้วยความสามารถในการผลิตที่แตกต่างกัน
2. เอนไซม์เป็นตัวเร่งในการย่อยอาหารให้สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพ ถ้าย่อยได้ไม่ดี ถึงกินอาหารแสนดีก็ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น
3. เอนไซม์ควบคุม และเร่งปฏิกิริยาเคมีทุกชนิด ถ้าไม่มีเอนไซม์ปฏิกิริยาเคมี จะเกิดช้าจนชีวิตไม่สามารถรอได้
4. เอนไซม์แต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะตัว และทำปฏิกิริยาเคมีจำเพาะกับสารตั้งต้นที่ถูกกำหนดเท่านั้น เอนไซม์ชนิดย่อยแห้งจะไม่ย่อยโปรตีน เอนไซม์ชนิดย่อยไขมันจะไม่ย่อยแป้ง
5. เอนไซม์ถูกทำลายโดยง่ายที่ความร้อนสูงเกิน 118 องศาฟาเรนไฮต์ หรือเอนไซม์เปราะบางมาก
6. การแช่แข็ง ไม่ทำลายความสามารถของเอนไซม์
7. การขาดเอนไซม์ส่วนใหญ่เกิดขึ้น เพราะไม่รักษาสุขภาพของตนเอง บางกรณีเกิดจากปัญหากรรมพันธุ์
8.  เอนไซม์ที่มีระดับต่ำ (Low Enzyme Level) ในร่างกายสัมพันธ์กับโรคของความเสื่อมต่าง ๆ (ถ้าเอนไซม์ต่ำมาก โรคแห่งความเสื่อมก็เกิดขึ้นมากตาม)
  วิตามินหรือเกลือแร่สำคัญ ๆ
                ถ้าไม่มีเอนไซม์ วิตามินก็คือ เศษผงธรรมดาเซลล์ทั้ง 60 ล้านล้านเซลล์ ต้องใช้เอนไซม์เพื่อเร่งปฏิกิริยาเคมี ถ้าไม่มีเอนไซม์ ชีวิตจะดำรงอยู่ไม่ได้ วิตามิน เกลือแร่ คือ ตัวร่วมกับเอนไซม์ (Coenzyme) โดยตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่มีเอนไซม์ร่วมด้วย วิตามิน เกลือแร่ก็เปล่าประโยชน์ เอนไซม์เป็นผู้สร้างเซลล์ สร้างอวัยวะ สร้างร่างกาย และสร้างชีวิต
  เอนไซม์คือพลังของชีวิต
Enzyme is the Life Force
ความสำคัญของเอนไซม์ คือ การสร้างเฮโมโกบิน (Hemoglobin) ในเม็ดเลือดแดงเพื่อนำออกซิเจนไปให้อวัยวะทั่วร่างกาย คนจำนวนมากกระดูกเปราะบางจากการกินอาหารที่ขาดเอนไซม์ ไม่สามารถนำแคลเซียมมาใช้ได้ โปรตีนไม่สามารถเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโน เพราะไม่มีเอนไซม์ย่อยโปรตีน และร่างกายอาจจะซ่อมแซมตนเอง หรือป้องกันอันตรายอันเกิดจากเชื้อโรค
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่สนใจในวิชาเอนไซม์เริ่มยอมรับว่า เมื่อก่อนเข้าใจผิดคิดว่าเอนไซม์ในร่างกายของเรา มีจำนวนคงที่ตลอดเวลา และมีให้ใช้ไม่รู้จักหมด (Constant and last forever) คิดเอาเองว่าสามารถนำมาใช้แล้ว ใช้ได้อีก จนกระทั่งมีการวิจัยหลายครั้งโดยกลุ่มนักวิชาเคมีจึงรู้ว่า เอนไซม์ในร่างกายคนเรามีจำนวนจำกัด มีวันเสื่อมสภาพ ถ้าใช้มากก็หมดเปลืองเร็ว ถ้าเป็นโรงงานก็จะต้องหาแม่ปั๊มใหม่มาเปลี่ยน แต่ร่างกายคนเราไม่สามารถหาแม่ปั๊มใหม่มาเปลี่ยนได้ ชีวิตจึงสิ้นสภาพ
สิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ ดินที่ปราศจากเกลือแร่ อาหารที่ปรุงสำเร็จ การใช้ไมโครเวฟทำอาหาร การทำงานหนัก ความเครียดเหล่านี้เป็นตัวทำให้เอนไซม์ โคเอนไซม์ บกพร่องทั้งในอาหาร และในตัวเราเองเป็นอันตรายต่อสุขภาพชีวิตได้
การแก้ปัญหาซึ่งง่านเหมือนเส้นผมบังภูเขา เมื่อขาดอาหารเสริม ด้วยการกินอาหารดิบ และสดให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าทำได้ยากวิธีแก้คือ กินเอนไซม์เสริม (To offset this los, we need to supplement our life Force with oral enzyme supplement)
เอนไซม์มีประโยชน์อะไร
                น.พ. Edward Howell ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการรักษาโรคด้วยเอนไซม์ กล่าวว่าเอนไซม์เกือบทุกตัวประกอบด้วยโปรตีน เกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เป็นโมเลกุลที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการเร่งขบวนการทางเคมีที่จำเป็นในการทำงานของร่างกาย เอนไซม์จะทำงานร่วมกับวิตามินซึ่งทำหน้าที่เป็น โค-เอนไซม์ และทำงานร่วมกับเกลือแร่ ถ้าร่างกายขาดสารอาหารพวกนี้ก็จะขาดเอนไซม์ไปด้วย เอนไซม์ทำงานคล้ายกับกรรมกรก่อสร้างร่างกาย ถ้าร่างกายมีโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตพร้อม แต่ไม่มีคนก่อสร้างพอก็ไม่สามารถเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงได้ ถ้าไม่มีเอนไซม์ ก็จะไม่มีการย่อยอาหาร ไม่มีการเจริญเติบโต ไม่มีการแข็งตัวของเลือดเวลาเลือดออก และไม่มีการหายใจ เอนไซม์แต่ละตัวจะทำหน้าที่เฉพาะอย่าง ในภาวะปกติร่างกายสามารถผลิตเอนไซม์หลายพันชนิดตลอดเวลา แต่เวลาเราเจ็บป่วย หรือรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ ร่างกายจะขาดวัตถุดิบที่จะนำมาสร้างเอนไซม์บางตัวทันที นั่นคือสาเหตุที่ร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลีย ติดเชื้อ มึนงง วิงเวียน
                ผลวิจัยเปรียบเทียบสารเอนไซม์ต้ายี่ว่ามีสารอาหารมากว่ายี่ห้ออื่นอย่างไร
    
 เอนไซม์แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ๆ คือ เอนไซม์ย่อยอาหาร และเอนไซม์ระบบทำงานร่างกายเอนไซม์ย่อยอาหารสร้างในร่างกายคนเราประมาณ 22 ชนิด ทำหน้าที่ย่อย น้ำตาล แป้ง ไขมัน โปรตีน โดยเริ่มย่อยจากปากไปจนถึงลำไส้ พืชและเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานก็มีเอนไซม์ผสมอยู่ ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้ก็จะทำงานร่วมกันกับเอนไซม์ที่ร่างกานสร้างขึ้น แต่เนื่องจากเอนไซม์สลายตัวตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน อาหารที่เรารับประทานที่ปรุงสุกด้วยความร้อนสูงได้ทำลายเอนไซม์ เมื่อเรารับประทานอาหารเหล่านั้นเป็นประจำ ร่างกายต้องสร้างเอนไซม์อย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับอาหารที่เอนไซม์ตายแล้ว ทำให้กำลังสำรองที่จะไปสร้างเอนไซม์ระบบทำงานร่างกายมีน้อยลง ตับอ่อนต้องทำงานหนักเพื่อสร้างเอนไซม์มากขึ้น ถ้าตับอ่อนสร้างเอนไซม์ได้น้อยกว่าปริมาณอาหารที่กินเข้าไป อาหารบางส่วนก็จะไม่ถูกย่อย และบูดเน่าด้วยเชื้อจูลินทรีย์ในลำไส้ แล้วปล่อยของเสีย (Toxins) เข้าสู่ระบบเลือด ทำให้ตับต้องทำงานหนักในการสลายสารพิษเหล่านั้น ถ้าสารพิษไม่ถูกขจัดออกหมดที่ตับ ร่างกายก็จะขับออกทางผิวหนัง ทำให้เกิดสิว และภูมิแพ้ต่าง ๆ
เอนไซม์ ใช้อย่างประหยัด
                ธรรมชาติไม่ได้ให้เอนไซม์ฟุ่มเฟือย เอนไซม์ที่ผลิตขึ้นในร่างกายแต่ละคนมีจำนวนจำกัด ต้องช่วยตัวเองประหยัดเอนไซม์ให้มีใช้นานที่สุด ถ้าต้องการมีอายุยาว และสุขภาพที่ดี
                เอนไซม์ที่สำคัญ คือ เมตาบอลิค เอนไซม์ใช้ซ่อมแซม และสร้างเซลล์ต่านทานโรค ป้องกันความเสื่อมโทรม แต่กฎธรรมชาติให้ไว้ว่า ถ้าเอนไซม์ใช้ย่อยอาหารไม่เพียงพอร่างกายต้องดึงเมตาบอลิค เอนไซม์ในเซลล์ต่าง ๆ มาทำงานที่ต่ำชั้นกว่าคือ ย่อยอาหาร ทำให้ เมตาบอลิค เอนไซม์ หมดเปลือง พลังของชีวิต (Life Force) จึงบกพร่องและไม่เพียงพอ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ง่าย การใช้เอนไซม์เสริมช่วยย่อยอาหารเป็นสิ่งจำเป็นเมื่ออายุมากขึ้น เพื่อประหยัดเมตาบอลิค เอนไซม์ การกินเอนไซม์เสริม และกินอาหารสดจะมีเอนไซม์พอใช้เมื่อแก่ตัวลง ความชราและโรคแห่งความเสื่อมทั้งหลายก็ไม่มากล้ำกลาย
  ตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์
                การกินไข่ข่าวดิบ ๆ จะมีสารชื่อ อไวดิน (Avidin) เป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme inhibitor) โดยจะเข้าไปเบียด และแซงโคเอนไซม์ (Coenzyme) ซึ่งเป็นวิตามินบี (ไบโอติน - Biotin) ทำให้ไม่สามารถจับกับเอนไซม์คู่ของมันได้ตามปกติ ผลก็คือ เกิดขาดวิตามินบีได้ ไข่ขาวดิบ ๆ จึงไม่ควรกินเป็นประจำ การลวดไข่จะทำให้อไวดินถูกทำลายด้วยความร้อนจึงปลอดภัยในการบริโภค
                การทำงานหนัก การออกกำลังกายมากเกินไป การออกกำลังกายระบบการเผาผลาญอาหารต้องทำงานเพิ่มขึ้น ถ้าแข่งกีฬาซึ่งต้องเอาแพ้ เอาชนะกัน ยิ่งต้องใช้พลังงานสูงมาก ย่อมหมดเปลืองเอนไซม์
                โลกมนุษย์ในยุคสารเคมีใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย หลังจาก ค.ศ.1930 เป็นต้นมา ได้มีการมีการมีการใช้สารเคมีเพื่อการอุตสาหกรรม การปฏิวัติทางเกษตรกรรม และการเร่งผลผลิตเพิ่มมาก ทั้งพืชและสัตว์จึงได้รับสารเคมีต่าง ๆ เข้ามาสะสมในตัวตั้งแต่ลืมตาดูโลก มนุษย์ได้สารเคมีปนเปื้อนผ่านมาทางวงจรอาหาร ทำให้เอนไซม์ในอาหาร และตัวคนเสื่อมคุณภาพ เกิดการขาดแคลนเอนไซม์ขึ้น พวกเราทุกคนกำลังอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ (Polluted World) เอนไซม์ในร่างกายจึงขาดแคลน ปัญหาจะมีมาก ถ้าเป็นเด็กเล็ก ๆ ซึ่งสมองกำลังพัฒนา
                มนุษย์สมัยใหม่มีรสนิยมในการกินของที่ผ่านการหุงต้ม (Cooked Food) มากกว่าอาหารดิบ (Raw Food) คนส่วนใหญ่พอใจที่จะกินอาหารที่ปรุงแต่ง อาหารที่อาบรังสี อาหารที่ใช้วิธีปิ้ง ย่าง มากกว่าอาหารดิบ เพราะชอบในความปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ การที่เราปิ้งหรือย่างเนื้อสัตว์ทำให้เราสูญเสียเอนไซม์ในอาหาร และยิ่งถ้ามีอายุมากขึ้นเอนไซม์ในตัวเราก็ลดต่ำลง การย่อยโปรตีนจึงมีอุปสรรค ไม่ได้สารอาหารกรดอะมิโน (Amino Acid) ร่างกายจะขาดกรดอะมิโน ซึ่งจะนำมาใช้ในการผลิตเอนไซม์ของร่างกาย ดังนั้นผู้ที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป การใช้เอนไซม์เสริมจึงจะสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ขาดเอนไซม์
สภาพเมื่อขาดเอนไซม์
รู้สึกเหนื่อยหลังจากกินอาหารมื้อหนัก
-
อ่อนเพลียเป็นประจำ (Chronic Fatigue Syndrome)
-
ท้องผูก ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ บางครั้งมีอาการจุกเสียด
ลมแน่นท้อง ผายลมมีกลิ่นเหม็นมาก มีกลิ่นปาก
มีอาการของโรคภูมิแพ้ง่าย บางครั้งถึงขนาดหอบหืด
เวลาเป็นแผลจะหายช้า
น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย
อาการที่แพทย์ตรวจพบ (Sign) ว่าท่านกำลังขาดเอนไซม์
ตับอ่อนบวม
เม็ดโลหิตขาวเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติหลังกินอาหาร 30 นาที
น้ำลายมีฤทธิ์เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7)
ในปัสสาวะมีสารพิษมาก เกิดการอาหารไม่ย่อยจึงบูดเน่าในลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะดูดซึมพร้อมกับนำเข้าไปในกระแสเลือด ตับและไตจะกรองสารพิษเอาไว้ และจะขับสารพิษนี้ออกทางปัสสาวะ
ระดับเอนไซม์ต่ำกว่าปกติในเลือด
ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย
เหตุผลที่กินเอนไซม์เสริม
                จงทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย (Mark it Simple) นักปรัชญาท่านหนึ่งกล่าวว่า มุมมองที่สำคัญของชีวิตคือ จงมองทุกสิ่งที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย และกฎข้อแรกคือ ถ้าจำเป็นแต่ไม่มี ก็หามา ถ้าไม่พอ ก็เอามาเสริม ฟังดูธรรมดาดี ท่านจะนำไปใช้ในชีวิตจริงก็ไม่ผิดระเบียบอะไร
  เอนไซม์เสริม
                ปู่ ย่า ตา ยายมีอายุยืนยาวอยู่กันมาได้ไม่ต้องกินอาหารเสริม หรือกินเอนไซม์เสริม ถือว่าโชคดี เพราะเกิดมาในขณะที่สิ่งแวดล้อมสะอาด อาหารสด ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ไม่มีการเติมสารเคมีให้พืชผัก ถ้าเราไปอ่านรายงานสถิติชีพของกระทรวงสาธารณสุขย้อนหลังกลับไป จะพบว่าโรคหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ และมะเร็งในสมัยนั้น แทบจะไม่มีให้เห็น ซึ่งคำว่ามะเร็งในสมัยนั้น จะเป็นคำที่แปลกประหลาดไม่เคยได้ยินมาก่อน
                ในระยะแรก วิตามิน และเกลือแร่ มีเพียง 2 อย่างที่มีการมุ่งให้เป็นอาหารเสริมใน ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) Dr. Wolfe ชาวเยอรมันได้ค้นพบประโยชน์ และวิธีการใช้เอนไซม์ที่มาจากสัตว์ (Animal Enzyme) และในเวลาไล่เลี่ยกัน Dr. Howell ชาวอเมริกันได้ศึกษาประโยชน์ของเอนไซม์จากพืช ผลการศึกษา และวิจัยของทั้งสองท่านปูทางไปสู่การใช้เอนไซม์มาเป็นอาหารเสริมในปัจจุบัน (Enzyme Supplement)
                การวิจัยในปี ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) ได้พิสูจน์ว่า ดี เอ็น เอ (DNA) ในเซลล์ของร่างกายเป็นผู้ควบคุมการผลิตเอนไซม์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เรามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเอนไซม์ และถ้าเราแก่ตัวลงมาเมตาบอลิค เอนไซม์ก็จะผลิตได้น้อย เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แท้ที่จริงเกิดจากพื้นฐานของการขาดเอนไซม์ (Low Enzyme Level)
                วิชาเอนไซม์ (Enzymology) เป็นวิชาใหม่เอี่ยมเกิดขึ้นประมาณ พ.ศ. 2528 และการใช้เอนไซม์เสริม (Enzyme Supplement) เริ่มเป็นที่ยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพก็ราว พ.ศ. 2538 นี้เอง
  เอนไซม์ กุญแจดอกสำคัญที่กำหนดชะตาชีวิตทั้งมวล
                ทุกชีวิตนับแต่เกิดจนตาย ทุกวินาทีดูดรับสารอาหารบำรุงที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ว่างเว้น พร้อมเสริมสร้างร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไม่หยุดยั้ง และทำลายเซลล์ที่เก่าแก่ (ของเสียเก่า ๆ) ออกไปจากร่างกาย การกระทำเช่นนี้เรียกว่า การขับถ่ายของเก่าออกไป และเสริมสร้างของใหม่ขึ้นมาแทนที่
                เอนไซม์เปี่ยมด้วยอานุภาพที่น่าทึ่ง อาหารทั้งหมดที่รับประทานเข้าไปนั้นล้วนอาศัยบทบาทการกระทำของเอนไซม์ในการย่อยสารอาหารที่สลับซับซ้อน ให้กลายเป็นสสารที่ละเอียดอ่อนก่อนที่จะดูดซึมเข้าไปในดลหิตได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีเอนไซม์แม้จะกินอิ่มเพียงใดก็ไม่แคล้วจะต้องรับทุกข์ทรมานจากการขาดสารอาหารบำรุงร่างกายของคนเรา คือเรือนร่างที่ประกอบด้วยสารโปรตีน โรคทั้งหมดที่มีต่อร่างกายเรา ยำเว้นโรคกระดูก และฟันแล้วล้วนเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากเซลล์ที่เกิดจากสารโปรตีนทั้งสิ้น การป่วยเป็นโรคคือ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายชนิดหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างไม่ปกติแน่นอน เช่น การหลุดล่วงของเซลล์เก่า จะผลัดเปลี่ยนด้วยเซลล์ใหม่เสมอ กลุ่มเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงแล้วจะถูกขับถ่ายออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเซลล์ใหม่จะเข้าแทนที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ โรคทั้งหมดก็จะถูกขจัดไป
                โลกวิวัฒนาการตามความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ กุญแจดอกสำคัญที่ไขไปสู่ปริศนา ของบทบาททุกชีวิตเริ่มแจ่มชัดขึ้นนั่นคือ เอนไซม์
                เอนไซม์แบบผสมที่ได้จาก พืชผัก ผลไม้นี้ มิเพียงสามารถปรับรักษาระบบการทำงานของอวัยวะ กระเพาะ ลำไส้ ตับ หัวใจ ปอดในร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถบรรเทาอาการของโรคมะเร็งให้ผ่อนเบาลงได้ เอนไซม์ชนิดนี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเซลล์ที่มีชีวิตอยู่มากยิ่งขึ้น และจะมีบทบาทในการละลายเซลล์ที่อยู่ในระยะเปลี่ยนแปลงของโรค (Pathological Change) ให้หมดไป
  ท่านใดที่ควรใช้เอนไซม์
-  ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
-  ผู้ที่ภูมิต้านทานอ่อน และมักติดเชื้อง่าย เช่น วัณโรค โรคเอดส์
-  ผู้ป่วยก่อน หลังผ่าตัด
-  สตรีก่อน หลังคลอด
-  ผู้ที่มีประสิทธิภาพตับไม่ดี เหนื่อยง่าย เช่น ตับอักเสบ
-  ผู้ที่มีประสาทอ่อน ไม่ปกติ ตกใจง่าย เบื่ออาหาร
-  ผู้ที่มีกระเพาะลำไส้ไม่ดีแต่กำเนิด ทำให้ผอมแห้ง แรงน้อย
-  ผู้ที่การทำงานของประสาทไม่เต็มที่ มักสลึมสลือ กระปรกกระเปลี้ย
-  ผู้ที่มีร่างกายแก่ก่อนวัย เจ็บป่วยบ่อย
-  ผู้ที่มีอาการติดเชื้อแปลก ๆ ทำให้ร่างกายเจ็บออด ๆ แอด ๆ
-  ผู้ที่อยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อโรคกรรมพันธุ์ เช่น มีญาติเป็นเบาหวาน มะเร็ง ปัญญาอ่อน โรคเลือด Thalassemia
  วิธีการใช้เอนไซม์
                เอนไซม์ต้องดื่มขณะท้องว่าง การกินเอนไซม์เป็นอาหารเสริม เพื่อให้ทำลายโมเลกุลโปรตีนที่แปลกปลอมเข้ามาในเลือด ต้องดื่มเวลาท้องว่างคือ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ก่อนอาหาร หรือ 2 ชั่วโมง หลังอาหาร เอนไซม์จะซึมเข้ากระแสเลือดได้ภายใน 5 นาที มิฉะนั้นจะหมดเปลืองไปจากการทำหน้าที่ย่อยอาหารเสียก่อน ถ้ากรณีมีอาหารอยู่ในกระเพาะจนไม่เข้ากระแสเลือดตามต้องการ
                การดื่มเอนไซม์เสริม จะเลือกวิธีใดแล้วแต่จุดประสงค์ของการใช้ จะดื่มเอนไซม์เสริมขนาดเท่าใด เมื่อไร ขึ้นอยู่กับสภาวะความรู้สึกไม่ค่อยสบายของท่าน ทางการแพทย์ถือว่า คนสองคนไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะทำโคลนนิ่งก็ตาม การบกพร่องของเอนไซม์แต่ละคนไม่เท่ากัน ขนาดของเอนไซม์ที่จะใช้เป็นอาหารเสริมจึงไม่สามารถกำหนดให้เป็นตัวเลขที่ตายตัวได้ โดยความเห็นของเภสัชกร จะกำหนดให้ดื่ม ครั้งละ 1-2 ช้อน วันละ 3 ครั้ง จึงต้องสังเกตด้วยตัวท่านเองว่าดื่มเท่าใด จะเหมาะสมกับตนเอง อาการดีขึ้นหรืออาจลดขนาดลง และทุกครั้งที่ดื่มเอนไซม์ ต้องดื่มน้ำตามอย่างน้อย 1 แก้ว
                เนื่องจากเอนไซม์รวมจากธรรมชาติ มีพลังการทำงานหลากหลาย การใช้เอนไซม์ชนิดเดียวกัน ก่อนหรือหลังอาหาร จะให้ผลการใช้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ใช้ควรทำความเข้าใจพื้นฐานของการใช้เอนไซม์
                สำหรับผู้ที่ต้องการใช้เอนไซม์เพื่อแก้ปัญหาในระบบการย่อย และดูดซึมอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องผูก โรคกระเพาะ โรคลำไส้ ควรดื่มเอนไซม์หลังอาหาร 30 นาที วันละ 2-4 ครั้ง
วิธีดื่มเอนไซม์
นำผงเอนไซม์ 1-2 ซอง ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว (250 CC.) แล้วดื่มให้หมดภายใน 30 นาที
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรผสมกับน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส
วิธีการใช้เอนไซม์ตามปัญหาสุขภาพต่าง ๆ
                     1. ดูแลผิวพรรณบนใบหน้า
ผลการใช้
 
วิธีการใช้
ขจัดสารเคมีตกค้างจากการใช้เครื่องสำอาง สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้าจะค่อย ๆ จงลงทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น
ล้างหน้าให้สะอาด ผสมเอนไซม์ 2- 3 กรัม กับน้ำสะอาด และชโลมลงบนใบหน้า (สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง) ในช่วงแรกอาจมีการคันเหมือนมีมดเดินบนใบหน้า แต่ไม่นานก็จะหาย
 
                           2.ใช้ลดน้ำหนัก
ผลการใช้
วิธีการใช้
ช่วยในการเผาผลาญไขมัน
อาหารเช้าของวัน ให้ดื่มเอนไซม์ 2 ช้อนโดยผสมกับน้ำอุ่น หรือเครื่องดื่มที่ชอบ เช่น ชาผลไม้ หรือน้ำนมข้าวยาคู เป็นต้น อาหารกลางวัน และเย็นดื่มเอนไซม์ 2 ช้อน ก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที เน้นอาหารประเภทผักผลไม้เป็นหลักไม่ควรทานอิ่มเกินไป งดอาหารประเภททอด และเนื้อติดมัน ใช้ซีอิ๊วแทน เกลือและน้ำปลา
          หากทำได้ดังนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนจะลดน้ำหนักได้ 4- 8 กิโลกรัม การลดน้ำหนักวิธีนี้เป็นการลดตามธรรมชาติ ทำให้มีความรู้สึกสบาย แข็งแรง ปลอดภัย ไม่อ่อนเพลีย กระวนกระวาย และเป็นการลดน้ำหนักอย่างสมดุลทั่วทั้งสรีระ
 

                           3. ใช้เพิ่มน้ำหนัก
ผลการใช้
วิธีการใช้
เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมอาหารของกระเพาะ ลำไส้
ดื่มเอนไซม์ครั้งละ 1-2 ช้อน ตวง หลังอาหาร 30 นาที วันละ 3 เวลา
 

                           4. โรคเก๊าท์
ผลการใช้
วิธีการใช้
ครึ่งเดือน สามเดือน
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที
-        เดือนที่ 1 ดื่มวันละ 4 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
-        เดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 2 ช้อน
-        เดือนที่ 4 ขึ้นไป ดื่มวันละ 2 เวลา ครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
 

                         5. โรคริดสีดวง
ผลการใช้
วิธีการใช้
ครึ่งเดือน สามเดือน
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที
-       เดือนที่ 1 ดื่มวันละ 4 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
-       เดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 2 ช้อนตวง
-       เดือนที่ 4 ขึ้นไป ดื่มวันละ 2 เวลา ครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
 

                           6. ปวดเมื่อยบั้นเอว เอ็นเคล็ด ไม่กระปรี้กระเปร่า
ผลการใช้
วิธีการใช้
ครึ่งเดือน สามเดือน
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที
-       เดือนที่ 1 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
-       เดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
 
                          7. ไซนัส
ผลการใช้
วิธีการใช้
1-2 เดือน
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที
-       เดือนที่ 1 ดื่มวันละ 4 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
          -  เดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 1-2  ช้อน
          -  เดือนที่ 4 ขึ้นไป ดื่มวันละ 2 เวลา ครั้งละ 1-2ช้อนตวง

  
                           8. ท้องเดิน ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ปวดประจำเดือน
ผลการใช้
วิธีการใช้
10-30 นาที
ดื่มเอนไซม์ 2 ช้อนตวง เมื่อมีอาการ
 
                           9. อาการสะอึก อาการเมาสุรา
ผลการใช้
วิธีการใช้
30 นาที
ดื่มเอนไซม์ 2 ช้อนตวง เมื่อมีอาการ
(กรณีแก้เมาสุรา ดื่มก่อน หรือหลัง หรือขณะกำลังดื่มสุราก็ได้)
 
                           10. เนื้องอก ต่อมไทรอยด์
ผลการใช้
วิธีการใช้
1-3 เดือน
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที
-       เดือนที่ 1 ดื่มวันละ 4 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
-       เดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อ
-       เดือนที่ 4 ขึ้นไป ดื่มวันละ 2 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
 
                           11. เบาหวาน ความดันสูง
ผลการใช้
วิธีการใช้
1-3 เดือน
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที
-       เดือนที่ 1 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 2 ช้อนตวง
-       เดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 1-2ช้อน
-       เดือนที่ 4 ขึ้นไป ดื่มวันละ 2 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
 

                           12. ท้องอืด ท้องผูก โรคกระเพาะ โรคลำไส้
ผลการใช้
วิธีการใช้
3-6 เดือน
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที
-       เดือนที่ 1 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 2 ช้อนตวง
-       เดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ดื่มวันละ 3 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อน
-       เดือนที่ 4 ขึ้นไป ดื่มวันละ 2 เวลาครั้งละ 1-2 ช้อนตวง
 
  •            13. ตั้งครรภ์ยาก
ผลการใช้
วิธีการใช้
เพิ่มเชื้ออสุจิในฝ่ายชาย เร่งการตั้งครรภ์ในฝ่ายหญิง
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที วันละ 3 เวลาครั้งละ 2 ช้อนตวง
                    
                     14. วัยหมดประจำเดือน
ผลการใช้
วิธีการใช้
ปรับฮอร์โมนในสมดุลในบางกรณี อาจมีประจำเดือนกลับมา
ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที วันละ 3 เวลาครั้งละ 2 ช้อนตวง
 
                     15. มือเป็นผื่นเม็ด
ผลการใช้
วิธีการใช้
3-4 วัน
ผสมน้ำแช่ ล้าง วันละ 2-4 ครั้ง
 
                     16. ฮ่องกงฟุต
ผลการใช้
วิธีการใช้
7 วัน
ผสมเอนไซม์ 1 ช้อนตวงกับน้ำอุ่น แล้วแช่วันละ1-2 ครั้ง หากดื่มด้วยจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
                     17. ฟกช้ำ เลือดคั่ง
ผลการใช้
วิธีการใช้
4-6 ชั่วโมง
ผสมเอนไซม์กับน้ำอุ่น แล้วปิดทาบริเวณที่เป็น
 
                     18. แผลกดทับ แผลเรื้อรัง แผลสด น้ำร้อนลวก
ผลการใช้
วิธีการใช้
แผลหายเร็วขึ้น
ล้างแผลให้สะอาดโรยผงเอนไซม์ลงบนบาดแผล หากทาแผลแห้งให้ผสมเอนไซม์กับน้ำอุ่น แล้วปิดทาบริเวณที่เป็น
 
                     19. ใช้เอนไซม์สูตรล้างพิษ
ผลการใช้
 
 
 
วิธีการใช้
ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ และร่างกายจะทำงานได้สะดวกเต็มประสิทธิภาพ เป็นการชำระล้างภายในร่างกาย เป็นชำระล้างภายในร่างกายให้สะอาดนับแต่เกิดมาหลายสิบปี
ดื่มเอนไซม์ครั้งละ 2 ซอง วันละ 4 เวลา ดังนี้ นำเอนไซม์ 2 ซอง ผสมน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 80 องศา จากนั้น 30 นาที ให้รับประทานผลไม้ต่าง ๆ (เช่น แอปเปิ้ล กล้วย ลิ้นจี่ สัปปะรดต่าง ๆ ปั่นผสมกับนมสด ปรุงรสด้วยมะนาว และน้ำผึ้ง ดื่มให้อิ่มประมาณ 60% เป็นอาหารเช้า ส่วนกลางวัน เย็น และก่อนนอนให้ดื่มเอนไซม์ 2 ซอง ผสมกับน้ำอุ่น รวม 47 ครั้ง โดยทั้งวันนี้จะไม่รับประทานอาหารอย่างอื่นเลย หากรู้สึกหิวให้ดื่มน้ำหรือนมแทน ท่านที่รับประทานยา หลังดื่มเอนไซม์ 30 นาทีขึ้นไป
 
การเกิดอาการตอบรับ (ปฏิกิริยาตอบรับการบำบัด)
เมื่อใช้เอนไซม์แล้วอาจมีการตอบรับ นั่นหมายถึง เอนไซม์กำลังเข้าไปทำปฏิกิริยา เพื่อฟื้นฟูเซลล์ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอตามจุดที่บกพร่อง หรือจุดที่มีสารพิษสะสมภายในร่างกาย
อาการตอบรับนี้จะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคลว่า สะสมสารพิษ อนุมูลอิสระ หรือสารป่นเปื้อนต่าง ๆ ในร่างกายมากน้อยเพียงใด
อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็น ช่วงวิกฤตแห่งการบำบัด (Healing Crisis) หรือ ปฏิกิริยาตอบรับการบำบัด” (Healing Reaction) ซึ่งเป็นช่วงที่เอนไซม์กำลังเข้าไปขับสารพิษ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ซึ่งเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว การเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าสุขภาพของท่านกำลังได้รับการฟื้นฟูสภาพ และระยะเวลาการเกิดอาการตอบรับก็ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคลเช่นกัน
  อาการโดยทั่วไป
                ผู้ที่เริ่มดื่มเอนไซม์ จะมีปฏิกิริยาตอบรับ อาการทั่วไปที่อาจปรากฏตามร่างกาย มีดังนี้
                ระบายท้อง อุจาระดำ ท้องผูก วิงเวียนศีรษะ อาเจียน อ่อนระโหยโรยแรง ตัวร้อน ความดันโลหิตสูง ต่ำชั่วคราว คันตามตัวเป็นผื่นเป็นจ้ำ ปวดเมื่อย ตัวเหลือง
                นอกจากอาการทั่วไปดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในบางท่านที่มีสารพิษสะสมในตัว ขณะที่เอนไซม์ทำปฏิกิริยาขับสารพิษจะเกิดอาการ ดังนี้
                ร้อนใน เป็นตุ่มผื่นคันตามผิวหนัง ริมฝีปากเป็นแผล มีอาการคันคล้ายเป็นโรคอีสุกอีใส สิวขึ้น (เป็นอาการคายพิษผ่านผิวหนังบนใบหน้า) ขี้ตามาก มีรังแค มีไข้ (บางคนมีไข้ถึง 39 องศา รับประทานยาแก้ไข้ก็ไม่ลด) ตาลาย อ่อนเพลีย อยากนอน อย่างไรก็ตามอาการต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น ไม่กี่วันก็จะหายไปเอง
 
ตัวอย่างอาการตอบรับที่อาจแสดงออกตามโรค
ปัญหาสุขภาพ
อาการตอบรับที่อาจแสดงออก
ผู้มีกรดยูริกมาก
ง่วงนอน คอแห้ง ลิ้นแห้ง กลางคืนจะปัสสาวะมาก และผายลมบ่อย
ความดันโลหิตสูง
ปวดศีรษะ ความดันจะสูงขึ้น บางครั้งอาเจียน
โลหิตจาง
ร้อนบริเวณหน้าอก ไม่เจริญอาหาร
กระเพาะเป็นแผล
จุดที่กระเพาะเจ็บจะมีอาการเจ็บมากขึ้น มีกลิ่นปาก มีอาการคล้ายโรคบิด
โรคลำไส้
มีอาการคล้ายโรคบิด
โรคหัวใจ
หายใจถี่ไม่สม่ำเสมอ อารมณ์หงุดหงิด ปวดศีรษะ
โรคปอด
บ้วนเสมหะ มีอาการเหมือนโรคหืด ไอปวดนิด ๆ
โรคไต
เจ็บไต ปัสสาวะเพิ่มและเปลี่ยนสี อ่อนเพลีย คันตามตัว ขาบวม
โรคไซนัส
น้ำมูกจะมากขึ้น
โรคเบาหวาน
ตัวบวม คันตามตัว ปากแห้ง น้ำตาลลด-เพิ่ม สายตามัว
โรคผิวหนัง
การเป็นผด ผื่น คัน
โรคริดสีดวง
ขับถ่ายมีเลือดเพิ่ม
ปวดศีรษะซีกเดียว
ประสาทดีขึ้น เวลาหลับจะหลับสนิท
โรคตับ
ระบายลมที่ค้างในหน้าอก วิงเวียนศีรษะ อาเจียน ออกเหลืองทั่วตัวคล้ายดีซ่าน คันทั้งตัวคล้ายอีสุกอีใส กระหายน้ำ อ่อนระโดยโรยแรง อุจจาระมีเลือด ท้องผูก
ไมเกรม
มีอาการปวดศีรษะติดต่อกันหลายวัน
ต่อมไทรอยด์อักเสบ
คันตามตัว ตัวบวม ปวดเมื่อย
ความดันต่ำ
รูจมูก โพรงปาก มีเลือดไหลซึม ๆ
โรคเก๊าท์ โรคไขข้อ
บริเวณที่อักเสบจะปวดเมื่อยมากขึ้น
โรคลมตะกัง
มีการปวดศรีษะติดต่อกันหลายวัน
โลหิตหมุนเวียนไม่สะดวก
ปวดเมื่อยทั้งตัว เหน็ดเหนื่อยเกียจคร้าน
ประจำเดือนมาไม่ปกติ
คันช่องคลอด ประจำเดือนอาจติดออกมาเป็นก้อน (เป็นการระบายของเสีย) ประจำเดือนมามาก อาจมาก่อน หลังกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการขับถ่ายของเสียเป็นตัวกำหนด
ประสาทอ่อน
กลางคืนนอนไม่หลับ เช้าปกติไม่ง่วงนอน
                อาการตอบรับหลังจากดื่มเอนไซม์ อาจเกิดขึ้นได้ภายใน 1 วันจนถึงภายใน 1-2 เดือน ระยะเวลาที่มีอาการ และความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แข็งแรงของแต่ละบุคคล เช่น คน ๆ เดียวอาจเกิดอาการหลายครั้ง และอาจไม่เรียงลำดับตามข้างต้น ถ้าทนไม่ไหวควรลดปริมาณการใช้เอนไซม์ลงเหลือครึ่งหนึ่งในแต่ละครั้ง และดื่มน้ำอุ่นตามมาก ๆ
                อาการตอบรับที่เกิดขึ้น แสดงว่าร่างกายกำลังได้รับการฟื้นฟู เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการดูแลสุขภาพ อย่าหยุดใช้เอนไซม์ในช่วงนี้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นการดูแลสุขภาพจะเป็นแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ซึ่งไม่เกิดประสิทธิผลอะไรเลย
                เมื่อร่างกายได้ผ่านพ้นจากช่วงปฏิกิริยาตอบรับ การบำบัดแล้วนั้นหมายถึง ร่างกายท่านได้เริ่มฟื้นฟู คืนสู่สุขภาพปกติแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง สารพิษและเซลล์ผิดปกติส่วนใหญ่ได้รับการขับออก ร่างกายมีอาการดีขึ้นมาก มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เบิกบาน เปล่งปลั่ง อารมณ์ดี
                อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ร่างกายกลับสู่สภาวะที่ดีแล้ว ก็ควรดื่มเอนไซม์ต่อไปเรื่อย ๆ อาจลดปริมาณการใช้ลงเหลือ 1-2 ครั้งต่อวันควบคู่กันการควบคุมด้านโภชนาการ เพื่อรักษาสภาวะสมดุลของระดับเอนไซม์ในร่างกาย และขจัดสารพิษ ที่ยังค้างอยู่ออกไป ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพในเชิงรุก แบบบูรณาการ
 
กรดอะมิโนที่พบในผลิตภัณฑ์ เจนิฟู้ด
กรดอะมิโน
คุณสมบัติ
Valine (วาลีน)
-       ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานประสานได้ดีขึ้น
-       ลดอาการปวดของเซลล์กล้ามเนื้อ
-       แผลไม่อักเสบช่วยให้จิตใจ และอารมณ์ดี
Leucine และ Isoleucine (ลิวซีน และ ไอโซลิวซีน)
-       มีคุณสมบัติผลิตพลังงานกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกตื่นตัว
-       ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อใช้ในกระบวนการการทำลายแบคทีเรียของยาปฏิชีวนะ ทำให้แผลไม่มีหนอง ไม่ติดเชื้อง่าย
Tryptophane
 (ทริฟโตเฟน)
-       ช่วยให้นอนหลับได้ดี ลดความวิตกกังวล ความซึมเศร้า
-       ช่วยในการรักษาอาการปวดหัวข้างเดียว
-       ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดี ช่วยลดอาการหดเกร็งของหลอดเลือด และหัวใจ
-       เมื่อรวมกับกรดอะมิโน Lycine จะลดคอเลสเตอรอลของร่างกายได้ และรักษาอาการโรคลมชัก
Phenylalanine และ Tyrocine (เฟนิลอะลานีน และ ไทโรซีน)
-       ทำให้รู้สึกสดชื่น อารมณ์ดี ลดความซึมเศร้า และช่วยให้ความจำดีขึ้น
-    ทำหน้าที่ส่งกระแสประสาทไปสู่สมอง ลดอาการซึมเศร้า ทำให้ความจำดีขึ้น จิตใจร่าเริง ทำให้ต่อมไทรอยด์และต่อมใต้สมอง ซึ่งอยู่ใต้สมองทำงานได้ดีขึ้น
Glycine (ไกลซีน)
-   เป็นเอนไซม์ในการช่วยย่อยอาหารเป็นอย่างดี เป็นส่วนช่วยในการผลิตฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น เพื่อใช้บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้
Alanine (อะลานีน)
-       กระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงรักษาอาการโรคโลหิตจาง
-       เป็นแหล่งพลังงานของกล้ามเนื้อสมอง และระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
Histidine (ฮีสติดีน)
พบมากในฮีโมโกลบิล ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ รูมาตอย โรคภูมิแพ้ บาดแผล และโลหิตจาง
Glutamic Acid
(กลูตามิกแอซิค)
-       ช่วยให้จิตใจร่าเริง
-       ช่วยให้บาลแผลหายเร็ว
-       หายอ่อนเพลีย
-       ควบคุมระบบจิตใจ
-       ควบคุมระบบแอลกฮอล์ในร่างกาย
Aspartic Acid
(แอสพาร์ติก แอซิด)
-       ช่วยขับแอมโมเนียที่เป็นอันตรายออกจากร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อประสาทส่วนกลาง ช่วยทำให้ไม่อ่อนเพลีย ร่างกายอดทน
-       ช่วยควบคุมเยื่อหุ้มเซลล์ที่สำคัญในการควบคุมการชัก ทำให้ไม่เกิดการชัก
Arginine และ Lysine
(อาร์จินีน และ ไลซีน)
-       ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคแบคทีเรีย ไวรัส เซลล์ เนื้องอกดีขึ้น มีผลให้ร่างกายไม่ป่วยด้วยโรคติดต่อดังกล่าวง่าย
-       ทำให้แผลหายเร็ว และซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ได้รวดเร็ว
-       ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต และทำให้เนื้อเยื่อ และกล้ามเนื้อ เกิดการซ่อมแซม
 
เกลือแร่ที่พบใน Genufood
เกลือแร่
แก้ไขปัญหาสุขภาพ
แคลเซี่ยม
-       ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ สร้างกระดูก
-       การแข็งตัวของเลือด
-       เร่งการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด
-       กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ และต่อมหมวกไต
แมกนีเซียม
-       อาการสั่นและกล้ามเนื้อกระดูก
-       ผลิตฮอร์โมนในเซลล์
-       อาการประสาทหลอนหายไป หัวใจเต้นปกติสำหรับผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
เหล็ก
-       โลหิตจาง
-       เป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดแดง
ฟอสฟอรัส
-       ช่วยการเจริญเติบโตของกระดูก และฟัน
-       สร้างเม็ดเลือดแดง
-       สลายหินปูนที่เกาะตามกระดูก และนิ่วที่เกิดจากกรดยูริคโดยละลายทางปัสสาวะ
-       ช่วยดูดซึมน้ำตาลกลูโคสกลับได้ที่ไต แก้ปัยหาผู้ที่เป็นโรคไตได้
โปเตสเซียม
-       ช่วยในการผลิตเอนไซม์ และฮอร์โมนบางชนิดในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนอินซูลินจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
-       ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อ และการส่งทอดสัญญาณของเซลล์ประสาท รักษาสภาวะการสมดุลของน้ำภายในเซลล์
โซเดียม
-       ทำหน้าที่ควบคุมภาวะความสมดุลของกรด และด่างในร่างกาย ควบคุมปริมาณน้ำในของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ของร่างกาย
-       ทำให้กล้ามเนื้อไม่เป็นตะคริว
ไอโอดีน
เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนไทรออกซินที่ต่อมไทรอยด์ ช่วยทำให้ร่างกายไม่แคระเกร็น สติปัญญาเสื่อม ช่วยป้องกันโรคคอหอยพอก
วิตามินที่พบใน Genufood
วิตามิน
แก้ไขปัญหาสุขภาพ
วิตามินบี 1
-       โรคเหน็บชา อาการบวมน้ำ เบื่ออาหาร
-       ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต
-       บำรุงประสาท และการหายใจ
วิตามินบี 2
-       ริมฝีปากแตก แผลมุมปาก
-       ช่วยในการแบ่งเซลล์ของร่างกายทำให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรง
วิตามินบี 5
-       ป้องกันผิวหนังอักเสบ หยาบ คล้ำ เมื่อถูกแสงแดด
-       ป้องกันอาการทางประสาท ความจำเสื่อม มีนงง
-       ป้องกันระบบทางเดินอาหารไม่ผิดปกติ
วิตามินบี 6
-       สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
-       บรรเทาอาการผิดปกติในรอบเดือน และแพ้ท้อง
วิตามินซี
-      โรคเลือดออกตามไรฟัน เหงือกอักเสบบวม โลหิตจาง เส้นโลหิตแข็งแรง
-      ป้องกันและเพิ่มความต้านทานมะเร็ง ให้แก่ผุ้เป็นมะเร็ง
-       รักษาแผล สมานแผล ต่อต้านเชื้อต่าง ๆ
วิตามินอี
-       เม็ดเลือดแดงแตกง่าย ป้องกันการเป็นหมัน แท้งบุตร
-       ลดปริมาณคอเลสเตอรอลที่ตกค้างในเลือดหัวใจ
- ป้องกันและบรรเทาอาการชาตามร่างกายขณะออกกำลังกาย
-       ช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายแก่ตัวช้า ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
เขียนโดย บริษัท เอ็มเอส สตาร์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ที่ 6:40 0 ความคิดเห็น
หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)